25 May 2019
Startup อาจจะไม่ใช่คำใหม่อะไรสำหรับนักธุรกิจSMEในยุคนี้ แต่ขอบอกเลยว่ามันเป็นธุรกิจที่มาแรงและมีผู้คนมากมายพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตครองโลก ทำให้นวัตกรรมต่างๆ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเกิดขึ้น และผู้ที่เป็นคนคิดค้นนวัตกรรมที่มาใช้แก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้นี่แหละที่เค้าเรียกกันว่า Startup ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกันเองว่า Startup นั้นเป็นธุรกิจรูปแบบไหน ดียังไง และที่เค้าว่ากันว่ามันทำเงินได้หลายพันล้านนั้นจริงรึเปล่า
Startup นั้นเป็นหนึ่งในรูปแบบธุรกิจที่เปรียบเสมือนธุรกิจที่เพิ่งเปิดใหม่ และมีแนวคิดว่าอยากจะแก้ไขปัญหาอะไรสักอย่างที่ยังไม่มีใครทำ เป็นธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยไอที และนวัตกรรม นำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา และทำให้เข้าถึงผู้คนได้อย่างหลากหลายภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
Startup มีข้อดีคือ การเจริญเติบโตของธุรกิจแบบก้าวกระโดด สร้างชื่อเสียง และรายได้มหาศาลขึ้นทุกปีหลายเท่าตัวในเวลาไม่นาน ซึ่งธุรกิจ Startup ที่เห็นกันได้ชัดเจนเลยก็คือ Google, Facebook, IG, หรือแม้แต่ Grab ที่ใช้เรียกแท็กซี่ เรียกมอเตอร์ไซค์เองก็เช่นกัน ด้วยอัตราการเติบโตที่ไม่ธรรมดานี่แหละครับที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็จับตามองและให้ความสำคัญกับธุรกิจตัวนี้กันเป็นจำนวนมาก และมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่างอยากจะเข้ามาร่วมวงธุรกิจ Startup นี้ด้วย
หลายคนเมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้แล้วว่า Startup เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มต้นจากคนไม่กี่คน และขยับขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็คงสงสัยว่า แล้วแบบนี้มันต่างจาก SME ยังไง ซึ่ง Startup นั้นต่างมากครับ เพราะ Startup เป็นธุรกิจที่ถูกออกแบบมาให้เติบโตอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่ต้นแล้ว ทีมงานต่างวางโครงสร้างธุรกิจ และทำการตลาดมาแบบรัดกุมมาก และที่สำคัญคือ Startup ทั้งหมดต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนประกอบเพื่อให้บริการของเค้ากระจายวงกว้างเข้าถึงทุกคนได้อย่างรวดเร็ว
แตกต่างจากธุรกิจ SME ที่จะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ เหมือนกัน แต่จะค่อยๆ เติบโตต่อไป มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 30-50% ทุกปี ซึ่งจะไม่มีทางเข้าถึงคนมหาศาล และประสบความสำเร็จในระดับสากลได้แบบ Startup ในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านอาหารนั้นไม่ใช่ Startup แต่เป็น SME เพราะร้านอาหารไม่สามารถขยายตัวได้รวดเร็ว ถ้าอยากเติบโตก็ต้องขยายร้าน ต้องเปิดสาขา 2 ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก และไม่สะดวกสบายแม้แต่น้อย
กลับกันถ้าเราทำเว็บไซต์สำหรับให้คนมาลงขายอาหาร แล้วคิดค่าบริการเล็กๆ น้อยๆ คนก็มาลงขายน้ำเต้าหู้ มาลงขายขนมมากมาย ธุรกิจเราสามารถเติบโตขึ้นได้ทุกวัน มีแอปพลิเคชันให้เค้าได้ใช้งานก็จะยิ่งกระจายวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่แหละครับเป็นตัวอย่างของการเติบโตแบบไม่มีสิ้นสุดของ Startup
SME นั้นการจะทำธุรกิจเราต้องใช้เงินตัวเองทุกบาททุกสตางค์ ต้องเริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆ ทำไป แต่สำหรับ Startup แล้ว เราสามารถมีแค่ไอเดีย และไปเสนอนักลงทุนได้เลย ซึ่งนี่เรียกว่าการ Pitching เป็นการเข้าไปเสนอขายไอเดียการทำธุรกิจของเราให้นักลงทุนฟัง ซึ่งถ้าไอเดียเราดี มีแผนการทำธุรกิจชัดเจน และมีโอกาสสร้างเงินได้อย่างแน่นอน นักลงทุนก็จะให้ความสนใจ และร่วมลงทุนกับเรา
ซึ่งแน่นอนว่า Startup ไม่จำกัดแค่การลงทุนในประเทศไทยเท่านั้น แต่ด้วยความที่เติบโตเร็ว ว่องไว ทำให้นักลงทุนจากต่างชาติเองก็พร้อมที่จะเข้ามายื่นข้อเสนอและช่วยพัฒนาไอเดียเหล่านั้น ทำให้สุดท้ายแล้วก็เกิดเป็นการเติบโตขึ้นระดับโลก และกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เหมือนอย่างที่ Ookbee บริษัท Startup จากเมืองไทยได้ทำไว้นั่นเอง
สุดท้ายแล้วอย่างที่บอกไปว่าข้อดีของ Startup คือการที่เราไม่ต้องใช้เงินตัวเอง แค่มีไอเดียดีก็มีคนสนใจอยากเข้ามาร่วมธุรกิจด้วยมากมาย ซึ่งนอกเหนือจากวิธีนี้ยังมีอีกหลายช่องทางที่ Startup จะสามารถหาเงินลงทุนได้
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นการหาเงินเข้ากระเป๋าและสร้างโปรดักต์ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่ง Startup แทบจะไม่ต้องใช้เงินของตัวเองเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งถึงแม้ว่าการทำ Startup นั้นจะดูเป็นธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ ประสบความสำเร็จง่าย และดูเป็นอะไรที่ช่วยให้รวยเร็ว แต่อัตราการเติบโตของ Startup และความสำเร็จของโลกนี้คือ มีไม่ถึง 1% เลยล่ะครับ เพราะตลอดเส้นทางนี้เราจะต้องเจออุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องของการหาลูกค้า เรื่องของการทำโปรดักต์ เรื่องของการพัฒนาให้ตอบโจทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยคนหลายๆ ส่วนเข้ามาช่วยกัน ดังนั้นจึงต้องมีความอดทน และมีประสบการณ์ รวมถึงมีใจรักในการทำสิ่งนั้นจริงๆ จึงจะประสบความสำเร็จได้